เว็บไซต์ Amata Jobs Online จัดทำขึ้นโดย บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ อมตะ (AMATA) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ตั้งอยู่จังหวัดชลบุรี และ ระยอง มีโรงงานประกอบกิจการกว่า 1,100 แห่ง สามารถสร้างอาชีพให้กับคนในประเทศมากกว่า 250,000 อัตรา ถือว่าเป็นตลาดงานใหญ่อันดับต้นๆของประเทศ ซึ่งมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สร้างเรซูเม่สมัครงานฟรี ให้คุณยืนหนึ่งด้วยการนำเสนอตัวตนที่โดดเด่น เพิ่มโอกาสให้คุณได้งาน สร้างเรซูเม่ของตัวเองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดาย ทำเรซูเม่ที่สวยงาม และใช้งานได้จริง หมดปัญหากับการสร้างเรซูเม่ที่สวย แต่ส่งไปสมัครงานแล้วแป๊กทุกที พร้อมถึงระบบช่วยกรอกเรซูเม่ ที่จะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจในทุกส่วนของข้อมูลเรซูเม่ และสามารถกรอก ข้อมูลได้ละเอียดที่สุด
สร้างเรซูเม่อมตะซิตี้ ระยอง
อมตะซิตี้ ชลบุรี
คนยุคใหม่ใช้GenAI เป็นผู้ช่วยส่วนตัวราวกับเป็นแขนขาที่สาม ภาระหน้าที่หลายอย่างที่เคยต้องเสียเวลาเป็นวันก็เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมง หรืออาจหลักนาทีเพราะมีAI คอยGenerate ให้ตามคำสั่ง ขอแค่ป้อนPrompt ที่ดีพอจะให้ปัญญาประดิษฐ์เข้าใจทว่าความสะดวกสบายนี้กลับมาพร้อมประเด็นถกเถียงว่า ‘มนุษย์จะโง่ลงเพราะAI หรือเปล่า?’GenAIทำให้คนคิดน้อยลงMIT Media Lab พบว่า การทำงานของสมองลดลงเมื่อใช้LLM (Large Language Model) เทียบกับการค้นหาเว็บและการคิดเองทั้งหมด นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้LLM มาก่อนแล้วต้องคิดเอง ก็มีแนวโน้มที่จะคิดได้น้อยลง และอาจลืมสิ่งที่เพิ่งเขียนไปเช่นเดียวกับรายงานจากMicrosoft Research ที่ได้สำรวจกลุ่มคนที่ทำงานด้านความรู้กว่า 319 คน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบมากกว่า70% รู้สึกว่าใช้ความพยายามทางสมองน้อยลงมากเมื่อใช้ GenAI โดยเฉพาะในงานที่เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจและการวิเคราะห์แม้จะผลการสำรวจจะเอนเอียงไปว่าการพึ่งพา GenAI จะทำให้ใช้สมองน้อยลง แต่ก็ยังเหลือคนอีกจำนวนหนึ่งที่ให้ความเห็นว่า ‘พวกเขาได้ใช้ความคิดมากขึ้น’ เช่นกันAI ไม่ได้แทนที่ แต่เปลี่ยนรูปแบบนักวิจัยของMicrosoft Research ได้เตือนว่า ‘การพึ่งพาเกินพอดี’ อาจทำให้ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาในระยะยาวของคนเราลดลงทว่าแท้จริงแล้วGenerative AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่การคิดเชิงวิพากษ์ แต่กำลังเปลี่ยนแปลง ‘รูปแบบ’ ของมัน มนุษย์ยังคงต้องคิดอย่างรอบคอบในขั้นตอนต่างๆ โดยกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์กำลังเปลี่ยนไปในรูปแบบใหม่ ได้แก่-การตั้งเป้าหมายและออกคำสั่ง (Prompting):เช่น การคิดว่าจะสื่อสารกับAI อย่างไรให้สร้างภาพตามจินตนาการได้-การตรวจสอบผลลัพธ์ (Inspection):ตรวจสอบว่าAI ให้ข้อมูลถูกต้องหรือไม่ อ้างอิงจากแหล่งใด-การบูรณาการ (Integration):การเลือกสิ่งที่ใช้ได้จากAI แล้วปรับให้เข้ากับงานของตัวเองใช้AIให้ฉลาดขึ้น ไม่ใช่โง่ลงเพื่อให้การทำงานในโลกยุคGenAI คือตัวช่วยส่งเสริมศักยภาพมนุษย์อย่างแท้จริง ไม่ใช่การลดระดับมันสมอง ควรใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยงานผ่านFrameworks ทั้ง5 ข้อนี้1.ถามอย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่แค่ ‘ให้ช่วยคิดแทน’:ควรคิดและตั้งคำถามที่เฉพาะเจาะจง เช่น แทนที่จะบอกว่า ‘ช่วยคิดหัวข้อหน่อย’ ควรระบุว่า ‘ผมอยากทำหัวข้อเกี่ยวกับการศึกษา-เศรษฐกิจ ที่เชื่อมกับอนาคตอีสาน ช่วยแตกเป็น3 idea พร้อมจุดขาย-กลุ่มเป้าหมายได้ไหม’ การทำเช่นนี้ทำให้คุณได้ฝึกคิดและAI จะตอบสนองได้ตรงจุดมากขึ้น2.วิจารณ์ผลลัพธ์ ไม่ใช่เชื่อทันที:ตั้งคำถามเสมอว่า ผลลัพธ์ที่ได้มีอคติหรือไม่ อิงข้อมูลอะไร และคุณมีข้อมูลที่ตรงข้ามหรือไม่ การเชื่อทุกอย่างที่AI ตอบจะปิดโอกาสในการเรียนรู้ 3.AIคือเครื่องมือต่อยอด ไม่ใช้ทางลัด:ใช้AI ช่วยสรุปสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ แตกประเด็นให้คุณต่อยอด หรือทวนความเข้าใจของคุณ ยิ่งคุณป้อนความคิดที่ดีเข้าไปมากเท่าไหร่AI ก็จะตอบกลับมาให้คุณฉลาดขึ้นเท่านั้น4.ให้feedback กับAIตลอดเวลา:ลองChallenge ด้วยการพิมพ์กลับไปว่า ผลลัพธ์ที่ให้มายังไม่ลึกพอ ช่วยเพิ่มเติมตัวอย่าง หรือกรณีศึกษาที่มีอยู่จริงมาได้ไหม การฝึกตั้งคำถามและให้feedback จะช่วยลับคมความคิดของคุณเอง5.ใช้AI เพื่อ ‘คิดร่วม’ ไม่ใช่ ‘คิดแทน’:มองAI เป็นคู่คิดที่ดี หรือที่ปรึกษาข้างตัวคุณ คุณจะไม่โง่ลงถ้า “คิดก่อนใช้ วิเคราะห์หลังใช้ และเรียนรู้ระหว่างใช้”การใช้AI อย่างชาญฉลาดคือการที่เรา ‘รู้จักจุดแข็งของตัวเอง’ ในฐานะมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจที่ต้องใช้สัญชาตญาณ ซึ่งAI ยังทำได้ไม่ดีเท่า และในขณะเดียวกัน ก็ต้องเข้าใจบริบทงานที่เราทำอย่างลึกซึ้ง เพื่อที่จะรู้ว่าส่วนไหนของงานที่AI สามารถเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพ หรือทำงานแทนเราได้การทำแบบนี้จะทำให้เราไม่ตกเป็นแค่ผู้ใช้เครื่องมือ แต่ยังคงเป็น ‘ผู้ควบคุมและผู้สร้างสรรค์’ ตัวจริง ที่ไม่ถูกเทคโนโลยีชี้นำไปเสียก่อนที่มา : https://thestandard.co/how-to-use-ai-critical-thinking-smart/
อ่านเพิ่มเติมแฟชั่น หนัง เพลง ยังมีเทรนด์เปลี่ยนไปในทุกปี โลกการทำงานที่อยู่กับเราเกือบทั้งสัปดาห์ แน่นอนว่าไม่หยุดนิ่งเป็นแบบแผนเดิมตลอดไปแน่นอนอย่างในปี2025 แม้จะไม่มีBuzz Word ใหม่ๆ มาเรียกเสียงฮือฮา แต่คำที่คุ้นเคยกันอย่างAI ปัญญาประดิษฐ์ก็ยังไม่หายไปไหน และเข้ามามีบทบาทที่เริ่มใช้งานจริงอย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ในช่วงแรกนั้นเราต่างตระหนกต่อการถูกแทนที่ด้วยเจ้าสิ่งนี้ แต่ทางออกที่พอจะเป็นไปได้ที่สุดคือการปรับตัวปีนี้ จึงเป็นเหมือนปีแห่งการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้า เพื่อให้ตัวเราอยู่รอดในทุกสถานการณ์ที่เผชิญได้ มาดูกันว่าเทรนด์ในโลกการทำงานที่น่าสนใจในปีนี้ มีอะไรกันบ้าง สิ่งไหนใกล้ตัว สิ่งไหนปรับใช้ได้ รู้ไว้ปรับตัวได้ก่อนใคร1.The Great Detachmentเกาะงานประจำ แต่ไม่อินกับมันอีกต่อไปในช่วงหลายปีก่อน โลกการทำงานเผชิญกับThe Great Resignation อัตราลาออกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เนื่องด้วยผู้คนแสวงหาความมั่นคงในวันที่โลกสั่นไหวด้วยโรคระบาด หลังจากนั้นเป็นต้นมา หากเทียบตัวเลขปีต่อปีแล้ว อัตราการลาออกถือว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นจนน่าหวั่นใจเท่าไหร่นักอาจด้วยความกังวลเรื่องที่ตลาดแรงงานอ่อนแอและอัตราเงินเฟ้อ ทำให้เหล่าคนทำงานยังคงเกาะเก้าอี้งานประจำของตัวเองเอาไว้แน่น แต่สิ่งที่ควรเป็นห่วงคือ ความพอพึงพอใจต่องาน ผลสำรวจจากGallup พบว่าความรู้สึกพึงพอใจต่องานของเหล่าพนักงาน ลดน้อยลงไปแตะในระดับเดียวกับช่วงโรคระบาด นั่นหมายความว่า แม้ตัวจะอยู่กับองค์กรเดิม แต่ใจกลับไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับงานเท่าแต่ก่อนแล้ว ที่ยังต้องอยู่เพื่อให้มีกินมีใช้ ไม่ใช่เพราะแพสชั่น ความมุ่งมั่นในอาชีพ2.Centric Leadership โดยมนุษย์แม้AI จะเข้ามามีบทบาทได้ถึงด้านการบริหารจัดการทีมในบางส่วน แต่ผู้นำที่เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อ ก็ไม่ได้ถูกแย่งเก้าอี้ไปเสียทีเดียว ตราบใดที่องค์กรยังมีพนักงานเป็นคนจริงๆ ก็ยังต้องการผู้นำที่มีความเป็นคน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางอารมณ์และสร้างทีมที่เหนียวแน่น ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าอกเข้าใจ ที่ยังไม่อาจถูกแทนที่ได้ โดยเฉพาะวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกมีส่วนร่วม มีคุณค่า สิ่งนี้ยังต้องถูกขับเคลื่อนจากผู้นำที่มีเลือดเนื้ออยู่เสมอ3.Reskilling Upskilling ต่อไม่หยุดยั้งหากAI เรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง นั่นหมายความว่ามันอาจมีลูกเล่นใหม่ๆ มาเซอร์ไพรส์เราได้เสมอ หากเราอยากต่อกรกับมัน สร้างความมั่นคงให้กับหน้าที่การงาน เราเองก็ต้องพัฒนาทักษะของตัวเองไปด้วยเช่นกัน อาจไม่ต้องถึงขั้นเรียนรู้เพื่อสู้กับ AI โดยเฉพาะ (เพราะแทบเป็นไปไม่ได้) แต่เราต้องเสริมชุดความรู้ที่มีให้อัปเดตอยู่เสมอ รวมทั้งเรียนรู้ทักษะใหม่ที่จะเป็นประโยชน์กับทั้งเราเองและองค์กร เพื่อให้เรามีพื้นที่และมีความสำคัญต่อสายพานการทำงานอยู่เสมอ และที่สำคัญ องค์กรเองก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะของพนักงานด้วย4.AI มีบทบาทใน Human Resourcesหลายคนอาจเคยได้ยินแล้วว่า เดี๋ยวนี้Resume ที่ร่อนไปถึงบริษัทต่างๆ ไม่ได้ผ่านสายตามนุษย์เป็นด่านแรก แต่ถูกคัดกรองด้วยAI ต่างหาก และในปีนี้มีแนวโน้มว่าAI จะก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวในสายงานทรัพยากรบุคคล ด้วยการรับหน้าที่จัดการงานประจำวันทั่วไป อย่างงานเอกสาร ประเมินตัวเลข การจัดการทั่วไป เป็นต้นส่วนมนุษย์นั้นจะรับหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ด้วยกัน อย่างการวางกลยุทธ สร้างความเป็นทีม วัฒนธรรมองค์กร หรือหน้าที่ใดๆ ที่ต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์และความเห็นอกเห็นใจ5.Rise Of Gray-Collar ผู้สูงอายุยังสานต่องานไหวแม้อายุจะเลยจุดสูงสุดในสายอาชีพหรือถึงวัยต้องวางมือตามที่บริษัทกำหนดไว้ แต่ตลาดแรงงานยังคงต้องการแรงงานที่มีทักษะเทคนิคเฉพาะทางอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่มีทักษะหลายด้านในตัวเอง ทั้งฝั่งพนักงานออฟฟิศ (White collar) และ ฝั่งใช้แรงงาน (Blue collar) บวกกับความเชี่ยวชาญที่เพิ่มพูนตามอายุงานแล้ว ทำให้เหล่าGray-Collar ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างพนักงานออฟฟิศและผู้ใช้แรงงาน อย่าง สถาปนิก วิศวกร แม้จะสูงวัย แต่ยังคงสามารถทำงานต่อในหน้าที่เดิมของตัวเองได้และยังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอีกด้วยที่มา : https://thematter.co/lifestyle/working-trend-2025/236669
อ่านเพิ่มเติมJobsdb by SEEK แพลตฟอร์มหางานของไทย ได้เปิดเผยรายงาน ‘Hiring, Compensation & Benefits (HCB) Report’ ประจำปี2568 ซึ่งชี้ให้เห็น3 สัญญาณการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของตลาดแรงงานไทยที่ทุกองค์กรไม่อาจมองข้าม รายงานฉบับนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากการสำรวจผู้ประกอบการ702 รายทั่วประเทศในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม2567 เพื่อถอดรหัสความเปลี่ยนแปลงและนำเสนอข้อมูลเชิงกลยุทธ์ให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างมั่นใจหลังจากปี2567 ซึ่งเป็นช่วงที่หลายองค์กรต้องปรับโครงสร้างเพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจ รายงานHCB ปี2568 ชี้ว่าตลาดแรงงานได้เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยกว่า53% ขององค์กรที่สำรวจมีแผนจะจ้างพนักงานประจำเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ตำแหน่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี2568อย่างไรก็ตาม รูปแบบการจ้างงานกำลังเปลี่ยนไปสู่โมเดลที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นอย่างชัดเจน องค์กรจำนวนมากหันมาใช้กลยุทธ์การจ้างงานแบบPart-time และสัญญาจ้างเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ พบว่าการจ้างงานแบบ ‘Part-time Permanent’ เพิ่มขึ้นจาก20% เป็น42% ขณะที่ ‘Contract Part-time’ เพิ่มจาก19% เป็น28% แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง แต่ภาพรวมตลาดแรงงานไทยยังคงแข็งแกร่งด้วยอัตราการว่างงานที่ต่ำเพียง1%ในมิติของสวัสดิการและผลตอบแทน องค์กรยุคใหม่กำลังให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของพนักงานในทุกมิติมากขึ้น รายงานชี้ว่าในปี2568 องค์กรมีแนวโน้มจะเพิ่มสวัสดิการประเภทวันลาพิเศษมากขึ้น เช่น ลาวันเกิด, ลาสำหรับบิดาเพื่อดูแลบุตร และลาดูแลครอบครัว ซึ่งมีทิศทางการปรับเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่เท่ากันคือ15% นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ที่สนับสนุนครอบครัว เช่น การจัดห้องให้นมบุตรและเบี้ยเลี้ยงด้านการศึกษาด้านค่าตอบแทน พบว่า85% ขององค์กรมีการปรับขึ้นเงินเดือนเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อ ขณะที่84% มีการจ่ายโบนัสโดยเฉลี่ยอยู่ที่2 เดือน เพื่อรักษาขวัญและกำลังใจของบุคลากร การกระทำเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความผูกพันระหว่างพนักงานกับองค์กรในระยะยาวสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอาจเป็นเรื่องของทักษะด้าน AI ซึ่งกำลังเปลี่ยนสถานะจาก ‘ทักษะทางเลือก’ ไปสู่ ‘ทักษะบังคับ’ สำหรับแรงงานยุคใหม่ องค์กรกว่า65% ระบุว่ามีการพิจารณาทักษะAI ของผู้สมัครในขั้นตอนการสัมภาษณ์งานแล้ว และ26% มองว่าทักษะนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงาน โดยวิธีการประเมินทักษะมีทั้งการสัมภาษณ์โดยตรง (51%), การพิจารณาจากแฟ้มผลงาน (42%) และการใช้แบบทดสอบเฉพาะทาง (33%)ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการJobsdb by SEEKกล่าวสรุปว่า “ปี2568ถือเป็นปีแห่งการปรับกลยุทธ์และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน องค์กรในประเทศไทยต่างเริ่มปรับตัวเพื่อให้ทันกับความคาดหวังของแรงงานยุคใหม่ ทั้งในด้านรูปแบบการจ้างงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น สวัสดิการที่ครอบคลุมคุณภาพชีวิตในทุกมิติ ไปจนถึงทักษะใหม่อย่างAI ที่เริ่มกลายเป็นมาตรฐานสำคัญในการจ้างงาน”ที่น่าสนใจคือ องค์กรเองก็เริ่มนำAI มาใช้ในกระบวนการสรรหาบุคลากรมากขึ้นเช่นกัน โดย34% ขององค์กรที่สำรวจเริ่มนำAI มาช่วยในการเขียนประกาศงานและคัดกรองใบสมัครแล้ว สิ่งนี้สะท้อนว่าAI ได้กลายเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุกคนในตลาดแรงงาน ไม่ใช่แค่เพียงสายงานเทคโนโลยีอีกต่อไปที่มา : https://thestandard.co/thailand-job-market-2025-flexible-hiring-ai-skills/
อ่านเพิ่มเติม1. เลือกเฉพาะประสบการณ์ที่มีค่าที่สุด ในสายงานนั้นๆในขั้นตอนแรกสุดเลยก็คือ เมื่อคุณคิดว่าคุณมีประสบการณ์ทำงานมากพอที่จะเขียนลงไปในเรซูเม่ของตัวเองแล้วล่ะก็ ก่อนอื่นคุณต้องมั่นใจว่าสิ่งที่คุณจะเขียนลงไปมันมีค่าในสายตาของผู้อ่านเรซูเม่ ซึ่งก็คือพนักงานสรรหาบุคลากร และผู้ที่จะสัมภาษณ์งานคุณ ซึ่งส่วนมากแล้วก็จะเป็น Supervisor หรือผู้จัดการ หรือหัวหน้าในสายงานของคุณนั่นเอง อย่าเขียนประสบการณ์ดาดๆที่ใครก็ได้สามารถทำมันได้ แต่ให้เลือกเขียนเฉพาะประสบการณ์ที่มีค่ามากๆก็พอ2. เน้นประสบการณ์ที่ได้รับการยกย่อง หรือรางวัล (Achievement)ถ้าหากคุณได้รับรางวัลอะไรในสายงาน ไม่ว่าจะเป็นผลงานส่วนตัวหรือผลงานของทีม ไม่ว่ารางวัลนั้นจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน นี่แหล่ะคือสิ่งที่มีค่ามากๆที่ควรจะเขียนลงไปในเรซูเม่ แต่ถ้าคุณมีรางวัลมากล่ะก็ เลือกเขียนอันที่ใหญ่ที่สุดก่อน แล้วเรียงลำดับลงมาตามความสำคัญนะครับ3. ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเคส หรือลูกค้าที่โด่งดังในสายงานของคุณในทุกๆสายงานย่อมจะรู้จักกันเองข้ามบริษัท ไม่มากก็น้อย ดั่งคำพูดที่ว่า "วงการมันแคบกว่าที่คิด" ซึ่งสิ่งนี้ใช้ได้กับทุกวงการเลยล่ะ ถ้าคุณมีประสบการณ์เคยทำงานในเคสที่ใหญ่ หรือทำงานร่วมกับลูกค้าที่ใครๆก็บอกว่าเป็นตัวแม่ของวงการแล้ว หรือมีแต่รายชื่อลูกค้าดังๆแล้วล่ะก็ คุณเองก็จะเนื้อหอมเอามากๆเลย ใครๆก็สนใจอยากจะสัมภาษณ์คุณ4. ประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเด่น? ลองเขียนสิ่งที่ทำผ่านมาตรฐานดูสิครับในบางสายงาน อย่างเช่น งานวิศวกร ที่คุณไม่มีโอกาสได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่คุณเป็นฟันเฟืองของบริษัทที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนองค์กรอยู่เบื้องหลังแล้วล่ะก็ คุณสามารถเขียนสิ่งที่คุณทำแล้วผ่านมาตรฐานต่างๆดูสิครับ สิ่งนี้เองก็มีความสำคัญไม่น้อยหน้าสายงานอื่นๆเลยครับ มาตรฐานนี้สามารถเป็นได้ตั้งแต่มาตรฐานระดับโลกอย่าง ISO ลงมาจนถึงมาตรฐานของโรงงานที่ตัวเองทำอยู่ได้เลย ขอเพียงเขียนชื่อมาตรฐานให้ถูก อย่าสะกดผิด หรืออย่าเขียนลอยๆว่า "มาตรฐาน" เฉยๆโดยที่ไม่ได้ใส่ชื่อให้มันก็พอ5. เขียนประสบการณ์ทำงานเรียงเป็นลำดับ เอาล่าสุดขึ้นก่อนประสบการณ์ทำงานในเรซูเม่เป็นแบบ เรียงตามเวลา โดยเอาอันล่าสุดขึ้นก่อน ส่วนของเก่าก็อยู่ล่างๆ เรียงกับอย่างเป็นระบบระเบียบ ซึ่งสิ่งนี้มีประโยชน์แฝงอยู่หลายข้อด้วยกัน นอกจากเพื่อที่จะให้อ่านง่ายแล้ว ผู้ที่อ่านเรซูเม่ของคุณยังมองว่าคุณมีความสามารถในการจัดระเบียบได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย6. เน้นคีย์เวิร์ด (คำค้น) ให้ชัดเจนเมื่อคุณเขียนเรซูเม่ของตัวเองและนำไปใช้ต่อ จะส่งให้ HR โดยตรง หรืออัพโหลดขึ้นเว็บไซท์สมัครงานต่างๆ คุณจะต้องคำนึงด้วยว่าพนักงานฝ่ายสรรหาบุคลากร จะค้นหาเจอเรซูเม่ของคุณได้อย่างไร ในกองเรซูเม่ขนาดใหญ่ที่พวกเขาได้รับในแต่ละวัน ซึ่งในยุคนี้ไม่มีใครเขาหยิบเรซูเม่มากองละหมื่นใบ แล้วมาอ่านกัน บริษัทส่วนใหญ่มีระบบดิจิทัลกันแล้ว ซึ่งสามารถค้นหาคำต่างๆที่ต้องการได้เพียงเสี้ยววินาที ดังนั้นสิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือทำให้เรซูเม่ของตัวเอง สามารถค้นหาได้ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือแปลงเป็น PDF เท่านั้น ถ้าหากคุณส่งเป็นกระดาษ หรือทำเป็นรูปไปล่ะก็มันจะค้นหาด้วยคีย์เวิร์คไม่ได้ คุณก็จะเสียเปรียบตรงนี้ไปอย่างมหาศาลเลยล่ะถ้าต้องกรอกข้อมูลใหม่ ก็กรอกให้ครบ อย่าให้ขาด คนส่วนมากมักจะคิดว่าก็ส่งเรซูเม่ให้แล้ว ทำไมไม่อ่าน ทำไมยังต้องกรอกอีก ที่กรอกทั้งหมดนี้สามารถใช้ค้นหาได้อย่างรวดเร็วเลยล่ะครับ ถ้าคุณปล่อยว่างๆแล้วล่ะก็ เสียดายนะครับสะกดให้ถูก ใช้คำให้ถูก บางคำมีชื่อภาษาอังกฤษ ก็ใส่ไปเลยทั้งอังกฤษ ทั้งไทย เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะถูกค้นหาเจอเช่นถ้าคุณเป็นนักบัญชี และคุณเคยทำงานด้านตรวจบัญชีมาก่อน ก็ให้ว่า Audit หรือ Auditor ในภาษาอังกฤษ แล้วถ้าใส่คำภาษาไทยว่า "นักตรวจสอบบัญชี" ด้วยแล้ว ก็จะเพิ่มโอกาสในการถูกค้นหามากขึ้นไปอีกครับ7. เด็กจบใหม่ ไม่มีประสบการณ์ ลองเขียนเรื่องการฝึกงานดูสิถ้าคุณเป็นเด็กจบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานแล้วล่ะก็ ให้เขียนประสบการณ์ที่ได้รับตอนฝึกงานลงไปแทน หรือถ้าตอนเรียนคุณได้ทำงาน เฉพาะที่เกี่ยวข้องสายงานนะครับ ก็สามารถเขียนลงไปได้ เช่นถ้าคุณเรียนจบด้านสถาปนิกมา และต้องการสมัครงานสถาปนิก โดยที่ตอนเรียนอยู่เคยทำงานพาร์ทไทม์กับบริษัทออกแบบโครงสร้างอาคารแล้วล่ะก็ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างเป็นพนักงานเดินเอกสาร ก็ใส่มันลงไปเถอะครับที่สำคัญก็คือ อย่าใส่สิ่งที่ไม่จำเป็นกับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร เพื่อแค่ให้เรซูเม่ดูเต็มๆ หรือมีอะไรเด็ดขาดนะ เพราะจะทำให้พนักงานฝ่ายสรรหาบุคลากรมองว่า คุณยังไม่ได้สนใจในสายงานนั้นๆขนาดนั้น แล้วก็เลือกที่จะให้โอกาสกับเด็กจบใหม่อีกคนที่เขียนประสบการณ์ตรงกับตำแหน่งงานมากกว่า8. ข้อมูลที่ดี มีการจัดระเบียบที่ดี มีค่ามากกว่าเรซูเม่สวยๆหลายๆคนก็คงจะเคย โหลดธีมเรซูเม่สวยๆ มาใช้บ้าง ใช่ไหมครับ เป็นเรื่องจริงที่ของสวยๆงามๆใครก็ชอบ แต่สวยแล้ว จะต้องมีข้อมูลที่ดี และการจัดระเบียบข้อมูลให้อ่านง่ายสบายตา ถือว่าเป็นเรซูเม่ที่ดีกว่าสวยอย่างเดียวมากหลายสิบเท่าตัวเลยครับ ดังนั้นจัดระเบียบข้อมูลให้ดีๆนะครับที่มา : www.bestjob.com
อ่านเพิ่มเติมการสัมภาษณ์งานเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้สมัครงานทุกคนต้องเผชิญ บทความนี้จะแนะนำคำถามยอดฮิตที่มักพบในการสัมภาษณ์งาน พร้อมแนวทางการตอบเพื่อสร้างความประทับใจ1. ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟังหน่อยวัตถุประสงค์: เพื่อทำความรู้จักตัวตนและประสบการณ์ของผู้สมัครแนวทางการตอบ: แนะนำตัวเองโดยย่อ เน้นประวัติการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานตัวอย่างการตอบ:"ผมชื่อสมชาย จบปริญญาตรีสาขาการตลาดจากมหาวิทยาลัย ABC ปัจจุบันมีประสบการณ์ทำงาน 3 ปีในตำแหน่งนักการตลาดดิจิทัล และสามารถช่วยเพิ่มยอดขายของบริษัท XYZ ได้ถึง 20% ภายใน 6 เดือน"2. ทำไมคุณถึงสนใจงานนี้?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินแรงจูงใจของผู้สมัครแนวทางการตอบ: พูดถึงแรงบันดาลใจและความชื่นชมต่อองค์กรและตำแหน่งงาน พร้อมระบุว่าคุณสามารถเพิ่มคุณค่าอะไรให้กับทีมได้ตัวอย่างการตอบ:"ผมชื่นชมวิสัยทัศน์ของบริษัทในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และมองว่าทักษะด้านการวิเคราะห์การตลาดของผมสามารถสนับสนุนเป้าหมายของทีมได้"3. คุณมีจุดแข็งอะไรบ้าง?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินความสามารถที่โดดเด่นของผู้สมัครแนวทางการตอบ: ระบุจุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง พร้อมอธิบายด้วยตัวอย่างที่ชัดเจนตัวอย่างการตอบ:"หนึ่งในจุดแข็งของผมคือการสื่อสาร ผมเคยประสานงานระหว่างทีมวิจัยและการตลาดเพื่อพัฒนาแผนการขายที่ตอบโจทย์ลูกค้า"4. จุดอ่อนของคุณคืออะไร?วัตถุประสงค์: เพื่อดูว่าผู้สมัครรู้จักตัวเองดีแค่ไหนแนวทางการตอบ: เล่าจุดอ่อนที่ไม่กระทบงานมากนัก พร้อมบอกวิธีแก้ไขหรือพัฒนาตัวเองตัวอย่างการตอบ:"ผมเคยมีปัญหากับการจัดลำดับความสำคัญ แต่ปัจจุบันได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือจัดการงาน เช่น Trello เพื่อช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น"5. ทำไมเราควรจ้างคุณ?วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้สมัครแสดงคุณค่าของตัวเองแนวทางการตอบ: อธิบายว่าทำไมคุณเหมาะสมกับงาน ทั้งในด้านทักษะ ประสบการณ์ และความตั้งใจตัวอย่างการตอบ:"ผมมีประสบการณ์ตรงในงานด้านนี้ และสามารถเริ่มทำงานได้ทันที นอกจากนี้ ผมยังมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร"6. คุณเคยเผชิญความล้มเหลวหรือไม่? คุณจัดการอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อดูวิธีการรับมือกับปัญหาแนวทางการตอบ: เล่าประสบการณ์ความล้มเหลว พร้อมบอกสิ่งที่คุณเรียนรู้และพัฒนาจากเหตุการณ์นั้นตัวอย่างการตอบ:"ผมเคยล้มเหลวในการบริหารโครงการที่ใหญ่เกินกำลัง แต่จากประสบการณ์นั้นทำให้ผมเรียนรู้การจัดการเวลาและแบ่งงานอย่างมีประสิทธิภาพ"7. คุณมีเป้าหมายในอาชีพอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินความมุ่งมั่นในสายงานแนวทางการตอบ: บอกเป้าหมายในระยะสั้นและระยะยาวที่สอดคล้องกับตำแหน่งและองค์กรตัวอย่างการตอบ:"เป้าหมายระยะสั้นของผมคือการเรียนรู้ระบบภายในองค์กร และเป้าหมายระยะยาวคือการเติบโตในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาด"8. คุณทำงานภายใต้ความกดดันได้หรือไม่?วัตถุประสงค์: เพื่อดูความสามารถในการจัดการอารมณ์แนวทางการตอบ: ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่คุณจัดการความกดดันได้ดี พร้อมผลลัพธ์ที่เป็นบวกตัวอย่างการตอบ:"ในช่วงที่ต้องทำโปรเจกต์ใหญ่ ผมจัดการงานด้วยการแบ่งเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และผลลัพธ์คือเราส่งงานได้ตรงเวลาและได้รับคำชมจากลูกค้า"9. คุณมีคำถามอะไรสำหรับเรา?วัตถุประสงค์: เพื่อดูความสนใจและการเตรียมตัวของผู้สมัครแนวทางการตอบ: เตรียมคำถามที่แสดงถึงความใส่ใจ เช่น โอกาสในการพัฒนาทักษะหรือวัฒนธรรมองค์กรตัวอย่างคำถาม:"บริษัทมีโอกาสให้พนักงานพัฒนาทักษะเพิ่มเติม เช่น การฝึกอบรม หรือเวิร์กช็อปหรือไม่?"10. คุณเคยทำงานเป็นทีมอย่างไร?วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นแนวทางการตอบ: ยกตัวอย่างโครงการที่คุณทำงานเป็นทีม พร้อมบอกบทบาทและผลลัพธ์ที่สำเร็จตัวอย่างการตอบ:"ผมเคยทำงานในโปรเจกต์ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยผมรับหน้าที่ประสานงานระหว่างทีมวิจัยและทีมการตลาด และสามารถส่งงานได้สำเร็จตามเป้าหมาย"ที่มา : www.jobth.com
อ่านเพิ่มเติมผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาภาวะผู้นำที่ศึกษาจิตวิทยาการทำงานมากว่า 30 ปี และให้คำปรึกษาซีอีโอองค์กรมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ เผยว่าบุคลิกภาพที่โดดเด่นที่สุดในการทำงานคือ แอมบิเวิร์ต (Ambivert)โดยนี่เป็นคนที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างคนเก็บตัว (Introvert) และคนเปิดเผย (Extrovert) ทำให้สามารถใช้จุดแข็งของทั้งสองด้านได้อย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพแอมบิเวิร์ตมักเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย พวกเขามีทักษะการสังเกตที่เฉียบคม สามารถมองเห็นทั้งภาพรวมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมๆ กับการสร้างเครือข่ายรอบตัวเพื่อช่วยให้บรรลุวิสัยทัศน์ความสามารถในการปรับตัวและเข้าใจผู้อื่นทำให้พวกเขามักได้รับการยอมรับและสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงาน8 สัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่าคุณเป็นแอมบิเวิร์ต ได้แก่ การเลือกเข้าสังคมอย่างมีเป้าหมาย โดยไม่ใช่แค่เข้าร่วมทุกงานแต่เลือกเฉพาะโอกาสที่สอดคล้องกับเป้าหมาย คุณค่า และระดับพลังงานของตนเอง ทำให้สามารถทุ่มเทและมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่ในทุกการปฏิสัมพันธ์พวกเขายังใช้เวลาอยู่คนเดียวให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่แค่พักผ่อนแต่ใช้เวลานั้นในการประมวลผล สะท้อนความคิด และวางแผน ทำให้กลับมาพร้อมกับมุมมองและไอเดียใหม่ๆ ที่สดใหม่อยู่เสมอนอกจากนี้ ยังสามารถสื่อสารได้ดีทั้งกับคนเก็บตัวและคนเปิดเผย ปรับตัวเข้ากับพลังงานและความชอบของแต่ละคนได้อย่างเป็นธรรมชาติจุดเด่นอีกประการของแอมบิเวิร์ตคือการรู้จังหวะในการนำและถอย สามารถดึงดูดความสนใจได้ดีแต่ก็รู้ว่าเมื่อไหร่ควรให้โอกาสคนอื่นได้แสดงความสามารถ พวกเขาพูดเพื่อสร้างความก้าวหน้าไม่ใช่แค่พูดไปเรื่อย ต่างจากคนเปิดเผยที่มักพูดเมื่อไม่ควรพูด และคนเก็บตัวที่มักไม่พูดเมื่อควรพูดสำหรับคนเปิดเผยที่ต้องการพัฒนาตัวเองให้เป็นแอมบิเวิร์ต ควรฝึกทักษะการอยู่กับความเงียบและการใคร่ครวญมากขึ้น โดยเริ่มจากการนับ1-3 ก่อนตอบในการสนทนา เพื่อให้คนอื่นมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและทำให้คำตอบของเรามีความรอบคอบมากขึ้นนอกจากนี้ ยังสามารถฝึกสังเกตการณ์แบบเงียบๆ ในที่ประชุมหรือกลุ่มสังคม สังเกตว่าใครพูด ใครฟัง และการตัดสินใจเกิดขึ้นอย่างไร และที่สำคัญคือต้องจัดสรรเวลาอยู่คนเดียววันละ30 นาทีเพื่อทบทวนความคิดและวางแผนขั้นตอนต่อไปส่วนคนเก็บตัว สามารถพัฒนาตัวเองโดยการเตรียมประเด็นที่ต้องการพูดในที่ประชุมล่วงหน้า1-2 ประเด็น และตั้งใจว่าจะต้องมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย วิธีนี้จะช่วยลดความกังวลในการพูดต่อหน้าผู้อื่นโดยหลังจากพบปะผู้อื่นควรติดตามผลด้วยการส่งอีเมลหรือข้อความ โดยอ้างอิงถึงสิ่งที่ได้พูดคุยกันและขอบคุณสำหรับเวลา และที่สำคัญคือต้องจัดสรรเวลาพักผ่อนอย่างมีเป้าหมายทุกวันเพื่อวิเคราะห์การมีปฏิสัมพันธ์และวางแผนสำหรับวันต่อไป“การเป็นแอมบิเวิร์ตช่วยให้เราใช้ประโยชน์จากการสะท้อนความคิดภายในและการมีปฏิสัมพันธ์ภายนอกได้อย่างสมดุลและมีกลยุทธ์” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว พร้อมชี้ว่านี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขามักประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่มีบุคลิกแบบใดแบบหนึ่งเพียงอย่างเดียวเพราะในโลกธุรกิจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการปรับตัวและใช้จุดแข็งที่หลากหลายคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่มา: https://thestandard.co/ambivert-personality-successful-business-leaders/
อ่านเพิ่มเติมทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน ตามรายงานล่าสุดจากLinkedIn แพลตฟอร์มหางานชื่อดังที่เพิ่งเปิดเผยรายงาน ‘Skills on the Rise 2025’ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นกำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้นบนแพลตฟอร์ม จนทำให้Andrew McCaskill ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพของ LinkedIn กล่าวว่า การเรียกทักษะเหล่านี้ว่าSoft Skills นั้นล้าสมัยไปแล้ว“เราไม่ให้ความสำคัญกับทักษะเหล่านี้เท่าที่ควรด้วยการเรียกมันว่า Soft Skills” McCaskill กล่าว “ทักษะที่เน้นความเป็นมนุษย์เหล่านี้เป็นตัวเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริงในแง่ของวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับทักษะที่คุณจะต้องใช้และพัฒนาในการทำงานอย่างสม่ำเสมอ”ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลังโควิด พบว่า7 จาก10 ทักษะยอดนิยมในการศึกษาเป็นทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแพร่หลายของAI ซึ่งครองอีก 2 อันดับใน10 อันดับแรกMcCaskill กล่าวว่า ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์เป็นสิ่งที่AI เลียนแบบได้ยากกว่าการศึกษานี้วัดจำนวนผู้ใช้LinkedIn ที่เพิ่มทักษะในโปรไฟล์ของตน สัดส่วนของสมาชิกที่ได้รับการจ้างงานที่มีทักษะนั้น และจำนวนครั้งที่ทักษะถูกระบุในประกาศรับสมัครงาน จากนั้นจึงเปรียบเทียบยอดรวมเหล่านั้นกับปีก่อนหน้าทักษะการบรรเทาความขัดแย้ง (Conflict Mitigation) ขึ้นแท่นเป็นทักษะที่มาแรงที่สุด ตามมาด้วยความสามารถในการปรับตัว (Adaptability), ความคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative Thinking), การพูดในที่สาธารณะ (Public Speaking), การขายโดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหา (Solution-Based Selling), การมีส่วนร่วมและการสนับสนุนลูกค้า (Customer Engagement and Support) และการบริหารจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Management)ปัจจัยที่ทำให้ทักษะการบรรเทาความขัดแย้งขึ้นมาเป็นที่ต้องการมากที่สุดเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในที่ทำงาน การศึกษาล่าสุดจากHarris Poll และExpress Employment Professionals ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรม ‘เป็นพิษ’ (Toxic) ในสำนักงานกำลังเพิ่มขึ้น และ30% ของผู้หางานในสหรัฐฯ รายงานว่าเพื่อนร่วมงานมีท่าทีชอบโต้เถียงและปะทะคารมกันมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง3 ปีก่อนMcCaskill เชื่อว่าสาเหตุมาจากความขัดแย้งในสังคมที่มีมากขึ้น การกลับไปทำงานที่ออฟฟิศหลังโควิด และความแตกต่างระหว่างคนต่างรุ่น เขากล่าวว่า “คนที่สามารถรักษาความสงบท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง คนที่รักษาความเป็นมืออาชีพได้แม้ในช่วงวิกฤต คนเหล่านี้คือผู้ที่จะได้เปรียบในตลาดแรงงาน”สำหรับคนที่ไม่ใช่สายเอ็กซ์โทรเวิร์ต การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ทักษะอย่างการพูดในที่สาธารณะอาจฟังดูน่ากลัว แต่McCaskill แนะนำว่า ควรมองที่การนำเสนอSoft Skills ในแบบที่เหมาะกับบุคลิกของแต่ละคน“ไม่มีใครบอกว่าคุณต้องออกไปเปิดตัวเองแบบสุดขั้ว แม้คุณจะเป็นคนเก็บตัว คุณก็ยังสามารถหาวิธีสื่อสารความกระตือรือร้นในแบบของคุณได้” อย่างเช่นหลังการสัมภาษณ์งาน แทนที่จะเงียบหาย คุณอาจส่งอีเมลขอบคุณสั้นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นและความสนใจในตำแหน่งงานนั้นสำหรับการแสดงSoft Skills ในการสมัครงานMcCaskill แนะนำให้ระบุทักษะเหล่านี้ลงในเรซูเมและเตรียมตัวอย่างเฉพาะสำหรับการสัมภาษณ์ อีกทั้งควรสามารถจับสัญญาณเมื่อผู้สัมภาษณ์กำลังประเมินSoft Skills ของคุณ“เมื่อพวกเขาถามว่า ‘เล่าให้ฟังเกี่ยวกับครั้งที่คุณแก้ปัญหาที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่’ พวกเขากำลังประเมินความสามารถในการคิดนอกกรอบและสร้างแนวทางใหม่ๆ ของคุณจริงๆ” เขากล่าวในยุคที่AI กำลังเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น ทักษะที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์กลับยิ่งทวีความสำคัญ และกลายเป็นตัวตัดสินความสำเร็จในโลกการทำงานยุคใหม่อย่างแท้จริงที่มา: https://thestandard.co/human-skills-negotiation-2025/
อ่านเพิ่มเติมในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในหลายด้านของชีวิตประจำวัน หนึ่งในนั้นคือกระบวนการหางานและการสมัครงาน รายงานแนวโน้มตลาดปี2025 จากบริษัทจัดหางานCareer Group Companies ระบุว่า ประมาณ65% ของผู้สมัครงานใช้AI ในหลายขั้นตอนของกระบวนการสมัครงาน ได้แก่19% ใช้AI ในการเขียนประวัติย่อ (resume)20% ใช้ในการเขียนจดหมายสมัครงาน9% ใช้ในการสร้างภาพถ่ายโปรไฟล์7% ใช้ในการฝึกสัมภาษณ์5% ใช้ในการสร้างตัวอย่างผลงาน5% ใช้ในการให้คำแนะนำด้านอาชีพนายจ้างตั้งข้อสงสัย การใช้AI ช่วยสมัครงานผิดจริยธรรมไหม?จิลเลียน ลอว์เรนซ์ (Jillian Lawrence) รองประธานอาวุโสของCareer Group Companies เปิดเผยมุมมองกับCNBC Make It ว่า เธอได้เห็นการใช้งานAI พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปีที่ผ่านมา และคิดว่าวัยทำงานยุคนี้กำลังมองหาใช้วิธีการสมัครงานที่ชาญฉลาดขึ้น ไม่น่าแปลกใจเลยถ้าพวกเขาจะสนใจหรือลองใช้AI มาช่วยในขั้นตอนการสมัครงานอย่างไรก็ตาม การใช้AI ในกระบวนการสมัครงานยังคงเป็นที่ถกเถียงอยู่ว่ามันเหมาะสมหรือไม่ จากการศึกษาของZety ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้านอาชีพและการหางาน (เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว) ชี้ว่า42% ของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลมองว่า การใช้AI ในกระบวนการสมัครงานเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมทางจริยธรรม ความกังวลเหล่านี้เพิ่มขึ้นเมื่อAI ถูกนำมาใช้ในการประเมินทักษะของผู้สมัครงาน โดยมากกว่าสองในสามของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล มีความกังวลเกี่ยวกับการใช้AI ในด้านนี้จัสมิน เอสคาเลรา (Jasmine Escalera) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพจากZety สะท้อนความเห็นว่า ความกังวลเหล่านี้มีเหตุผล "หากคุณใช้มันเพื่อเสริมทักษะของคุณหรือแสดงทักษะที่คุณไม่มีจริง ๆ นั่นเป็นปัญหา โดยพื้นฐานแล้วหากคุณใช้เอไอเพื่อแสดงทักษะนั้น มันก็แปลว่าคุณอาจไม่สามารถทำงานนั้นได้จริงๆ"เปิดคำแนะนำการใช้AIที่ดีที่สุดสำหรับผู้สมัครงานหากผู้สมัครงานใช้ AI มาช่วยเขียนเรซูเม่หรือจดหมายสมัครงานต่างๆ ก็ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้AI สร้างขึ้น ผู้สมัครควรใช้เวลาในการตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกอย่างที่AI สร้างขึ้นนั้น เป็นข้อมูลของผู้สมัครจริงๆ ที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับทักษะและความสามารถของผู้สมัครเนื่องจากAI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือเกินจริงได้"AI อาจสร้างข้อมูลที่มีความซ้ำซ้อนและไม่ถูกต้องเสมอไป สิ่งใดที่ไม่เป็นความจริง ผู้สมัครงานจะต้องแก้ไขใหม่ รวมถึงตรวจทานเนื้อหาในใบสมัครซ้ำหลายๆ รอบเพื่อความถูกต้องครบถ้วนที่สุด"คำแนะนำนี้สอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญอย่าง เจเรมี ชิเฟลิง (Jeremy Schifeling) ผู้เขียนหนังสือ "Career Coach GPT" ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับการใช้ AI ในกระบวนการหางาน เขาแนะนำให้ผู้สมัคร "ตรวจสอบ ตรวจสอบ และตรวจสอบ" ทุกอย่างที่พวกเขาใช้ AI สร้างขึ้น"สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคือการนั่งอยู่ในการสัมภาษณ์รอบสุดท้ายแล้วถูกถามเกี่ยวกับประวัติย่อที่ AI สร้างขึ้นแบบผิดๆ และคุณตอบไม่ได้ (เพราะลืมตรวจทานข้อมูล) จนอาจทำให้อับอายในระหว่างสัทภาษณ์"นอกจากนี้ เอสคาเลราให้คำแนะนำอีกว่า ควรใช้AI เพื่อช่วยปรับแต่งใบสมัครให้ตรงกับคำอธิบายลักษณะงาน เพื่อให้ผู้อ่านทำความเข้าใจง่ายขึ้น และอาจรวมถึงการใช้AI ช่วยคัดกรองศัพท์เทคนิคเฉพาะของสายงานนั้นๆหรือใช้มันช่วยการตรวจสอบไวยากรณ์ ฯลฯ แต่นอกเหนือจากนั้นคุณควรเขียนจดหมายสมัครงานและเรซูเม่ด้วยตัวเอง"ตัวคุณคือพื้นฐาน และAI เข้ามาเพื่อเสริมพื้นฐานที่คุณมีให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าใช้มันเพื่อทำงานให้คุณทั้งหมดทุกอย่าง"ขณะที่ ลอว์เรนซ์เตือนให้วัยทำงานคนรุ่นใหม่ระวังการอัปโหลดข้อมูลส่วนบุคคลเข้าสู่โปรแกรม AI เพราะมันอาจถูกใช้เกินวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ โดยเฉพาะอาจเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวได้สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับทั้งลอว์เรนซ์และเอสคาเลราคือ ปรากฏการณ์นี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนมองว่าการใช้AI ในกระบวนการสมัครงานจะยังคงแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทุกคนจะใช้AI ทำเรื่องนี้กันอย่างปกติ แต่สิ่งสำคัญคือต้องหาวิธีใช้มันให้ผลลัพธ์ใบสมัครงานออกมาดีที่สุด ไม่ใช่ใช้มันทำแทนทั้งหมดทุกขั้นตอนที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1169965
อ่านเพิ่มเติม