คนยุคใหม่ใช้GenAI เป็นผู้ช่วยส่วนตัวราวกับเป็นแขนขาที่สาม ภาระหน้าที่หลายอย่างที่เคยต้องเสียเวลาเป็นวันก็เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมง หรืออาจหลักนาทีเพราะมีAI คอยGenerate ให้ตามคำสั่ง ขอแค่ป้อนPrompt ที่ดีพอจะให้ปัญญาประดิษฐ์เข้าใจทว่าความสะดวกสบายนี้กลับมาพร้อมประเด็นถกเถียงว่า ‘มนุษย์จะโง่ลงเพราะAI หรือเปล่า?’GenAIทำให้คนคิดน้อยลงMIT Media Lab พบว่า การทำงานของสมองลดลงเมื่อใช้LLM (Large Language Model) เทียบกับการค้นหาเว็บและการคิดเองทั้งหมด นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้LLM มาก่อนแล้วต้องคิดเอง ก็มีแนวโน้มที่จะคิดได้น้อยลง และอาจลืมสิ่งที่เพิ่งเขียนไปเช่นเดียวกับรายงานจากMicrosoft Research ที่ได้สำรวจกลุ่มคนที่ทำงานด้านความรู้กว่า 319 คน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบมากกว่า70% รู้สึกว่าใช้ความพยายามทางสมองน้อยลงมากเมื่อใช้ GenAI โดยเฉพาะในงานที่เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจและการวิเคราะห์แม้จะผลการสำรวจจะเอนเอียงไปว่าการพึ่งพา GenAI จะทำให้ใช้สมองน้อยลง แต่ก็ยังเหลือคนอีกจำนวนหนึ่งที่ให้ความเห็นว่า ‘พวกเขาได้ใช้ความคิดมากขึ้น’ เช่นกันAI ไม่ได้แทนที่ แต่เปลี่ยนรูปแบบนักวิจัยของMicrosoft Research ได้เตือนว่า ‘การพึ่งพาเกินพอดี’ อาจทำให้ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาในระยะยาวของคนเราลดลงทว่าแท้จริงแล้วGenerative AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่การคิดเชิงวิพากษ์ แต่กำลังเปลี่ยนแปลง ‘รูปแบบ’ ของมัน มนุษย์ยังคงต้องคิดอย่างรอบคอบในขั้นตอนต่างๆ โดยกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์กำลังเปลี่ยนไปในรูปแบบใหม่ ได้แก่-การตั้งเป้าหมายและออกคำสั่ง (Prompting):เช่น การคิดว่าจะสื่อสารกับAI อย่างไรให้สร้างภาพตามจินตนาการได้-การตรวจสอบผลลัพธ์ (Inspection):ตรวจสอบว่าAI ให้ข้อมูลถูกต้องหรือไม่ อ้างอิงจากแหล่งใด-การบูรณาการ (Integration):การเลือกสิ่งที่ใช้ได้จากAI แล้วปรับให้เข้ากับงานของตัวเองใช้AIให้ฉลาดขึ้น ไม่ใช่โง่ลงเพื่อให้การทำงานในโลกยุคGenAI คือตัวช่วยส่งเสริมศักยภาพมนุษย์อย่างแท้จริง ไม่ใช่การลดระดับมันสมอง ควรใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยงานผ่านFrameworks ทั้ง5 ข้อนี้1.ถามอย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่แค่ ‘ให้ช่วยคิดแทน’:ควรคิดและตั้งคำถามที่เฉพาะเจาะจง เช่น แทนที่จะบอกว่า ‘ช่วยคิดหัวข้อหน่อย’ ควรระบุว่า ‘ผมอยากทำหัวข้อเกี่ยวกับการศึกษา-เศรษฐกิจ ที่เชื่อมกับอนาคตอีสาน ช่วยแตกเป็น3 idea พร้อมจุดขาย-กลุ่มเป้าหมายได้ไหม’ การทำเช่นนี้ทำให้คุณได้ฝึกคิดและAI จะตอบสนองได้ตรงจุดมากขึ้น2.วิจารณ์ผลลัพธ์ ไม่ใช่เชื่อทันที:ตั้งคำถามเสมอว่า ผลลัพธ์ที่ได้มีอคติหรือไม่ อิงข้อมูลอะไร และคุณมีข้อมูลที่ตรงข้ามหรือไม่ การเชื่อทุกอย่างที่AI ตอบจะปิดโอกาสในการเรียนรู้ 3.AIคือเครื่องมือต่อยอด ไม่ใช้ทางลัด:ใช้AI ช่วยสรุปสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ แตกประเด็นให้คุณต่อยอด หรือทวนความเข้าใจของคุณ ยิ่งคุณป้อนความคิดที่ดีเข้าไปมากเท่าไหร่AI ก็จะตอบกลับมาให้คุณฉลาดขึ้นเท่านั้น4.ให้feedback กับAIตลอดเวลา:ลองChallenge ด้วยการพิมพ์กลับไปว่า ผลลัพธ์ที่ให้มายังไม่ลึกพอ ช่วยเพิ่มเติมตัวอย่าง หรือกรณีศึกษาที่มีอยู่จริงมาได้ไหม การฝึกตั้งคำถามและให้feedback จะช่วยลับคมความคิดของคุณเอง5.ใช้AI เพื่อ ‘คิดร่วม’ ไม่ใช่ ‘คิดแทน’:มองAI เป็นคู่คิดที่ดี หรือที่ปรึกษาข้างตัวคุณ คุณจะไม่โง่ลงถ้า “คิดก่อนใช้ วิเคราะห์หลังใช้ และเรียนรู้ระหว่างใช้”การใช้AI อย่างชาญฉลาดคือการที่เรา ‘รู้จักจุดแข็งของตัวเอง’ ในฐานะมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจที่ต้องใช้สัญชาตญาณ ซึ่งAI ยังทำได้ไม่ดีเท่า และในขณะเดียวกัน ก็ต้องเข้าใจบริบทงานที่เราทำอย่างลึกซึ้ง เพื่อที่จะรู้ว่าส่วนไหนของงานที่AI สามารถเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพ หรือทำงานแทนเราได้การทำแบบนี้จะทำให้เราไม่ตกเป็นแค่ผู้ใช้เครื่องมือ แต่ยังคงเป็น ‘ผู้ควบคุมและผู้สร้างสรรค์’ ตัวจริง ที่ไม่ถูกเทคโนโลยีชี้นำไปเสียก่อนที่มา : https://thestandard.co/how-to-use-ai-critical-thinking-smart/
อ่านเพิ่มเติมแฟชั่น หนัง เพลง ยังมีเทรนด์เปลี่ยนไปในทุกปี โลกการทำงานที่อยู่กับเราเกือบทั้งสัปดาห์ แน่นอนว่าไม่หยุดนิ่งเป็นแบบแผนเดิมตลอดไปแน่นอนอย่างในปี2025 แม้จะไม่มีBuzz Word ใหม่ๆ มาเรียกเสียงฮือฮา แต่คำที่คุ้นเคยกันอย่างAI ปัญญาประดิษฐ์ก็ยังไม่หายไปไหน และเข้ามามีบทบาทที่เริ่มใช้งานจริงอย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ในช่วงแรกนั้นเราต่างตระหนกต่อการถูกแทนที่ด้วยเจ้าสิ่งนี้ แต่ทางออกที่พอจะเป็นไปได้ที่สุดคือการปรับตัวปีนี้ จึงเป็นเหมือนปีแห่งการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้า เพื่อให้ตัวเราอยู่รอดในทุกสถานการณ์ที่เผชิญได้ มาดูกันว่าเทรนด์ในโลกการทำงานที่น่าสนใจในปีนี้ มีอะไรกันบ้าง สิ่งไหนใกล้ตัว สิ่งไหนปรับใช้ได้ รู้ไว้ปรับตัวได้ก่อนใคร1.The Great Detachmentเกาะงานประจำ แต่ไม่อินกับมันอีกต่อไปในช่วงหลายปีก่อน โลกการทำงานเผชิญกับThe Great Resignation อัตราลาออกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เนื่องด้วยผู้คนแสวงหาความมั่นคงในวันที่โลกสั่นไหวด้วยโรคระบาด หลังจากนั้นเป็นต้นมา หากเทียบตัวเลขปีต่อปีแล้ว อัตราการลาออกถือว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นจนน่าหวั่นใจเท่าไหร่นักอาจด้วยความกังวลเรื่องที่ตลาดแรงงานอ่อนแอและอัตราเงินเฟ้อ ทำให้เหล่าคนทำงานยังคงเกาะเก้าอี้งานประจำของตัวเองเอาไว้แน่น แต่สิ่งที่ควรเป็นห่วงคือ ความพอพึงพอใจต่องาน ผลสำรวจจากGallup พบว่าความรู้สึกพึงพอใจต่องานของเหล่าพนักงาน ลดน้อยลงไปแตะในระดับเดียวกับช่วงโรคระบาด นั่นหมายความว่า แม้ตัวจะอยู่กับองค์กรเดิม แต่ใจกลับไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับงานเท่าแต่ก่อนแล้ว ที่ยังต้องอยู่เพื่อให้มีกินมีใช้ ไม่ใช่เพราะแพสชั่น ความมุ่งมั่นในอาชีพ2.Centric Leadership โดยมนุษย์แม้AI จะเข้ามามีบทบาทได้ถึงด้านการบริหารจัดการทีมในบางส่วน แต่ผู้นำที่เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อ ก็ไม่ได้ถูกแย่งเก้าอี้ไปเสียทีเดียว ตราบใดที่องค์กรยังมีพนักงานเป็นคนจริงๆ ก็ยังต้องการผู้นำที่มีความเป็นคน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางอารมณ์และสร้างทีมที่เหนียวแน่น ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าอกเข้าใจ ที่ยังไม่อาจถูกแทนที่ได้ โดยเฉพาะวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกมีส่วนร่วม มีคุณค่า สิ่งนี้ยังต้องถูกขับเคลื่อนจากผู้นำที่มีเลือดเนื้ออยู่เสมอ3.Reskilling Upskilling ต่อไม่หยุดยั้งหากAI เรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง นั่นหมายความว่ามันอาจมีลูกเล่นใหม่ๆ มาเซอร์ไพรส์เราได้เสมอ หากเราอยากต่อกรกับมัน สร้างความมั่นคงให้กับหน้าที่การงาน เราเองก็ต้องพัฒนาทักษะของตัวเองไปด้วยเช่นกัน อาจไม่ต้องถึงขั้นเรียนรู้เพื่อสู้กับ AI โดยเฉพาะ (เพราะแทบเป็นไปไม่ได้) แต่เราต้องเสริมชุดความรู้ที่มีให้อัปเดตอยู่เสมอ รวมทั้งเรียนรู้ทักษะใหม่ที่จะเป็นประโยชน์กับทั้งเราเองและองค์กร เพื่อให้เรามีพื้นที่และมีความสำคัญต่อสายพานการทำงานอยู่เสมอ และที่สำคัญ องค์กรเองก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะของพนักงานด้วย4.AI มีบทบาทใน Human Resourcesหลายคนอาจเคยได้ยินแล้วว่า เดี๋ยวนี้Resume ที่ร่อนไปถึงบริษัทต่างๆ ไม่ได้ผ่านสายตามนุษย์เป็นด่านแรก แต่ถูกคัดกรองด้วยAI ต่างหาก และในปีนี้มีแนวโน้มว่าAI จะก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวในสายงานทรัพยากรบุคคล ด้วยการรับหน้าที่จัดการงานประจำวันทั่วไป อย่างงานเอกสาร ประเมินตัวเลข การจัดการทั่วไป เป็นต้นส่วนมนุษย์นั้นจะรับหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ด้วยกัน อย่างการวางกลยุทธ สร้างความเป็นทีม วัฒนธรรมองค์กร หรือหน้าที่ใดๆ ที่ต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์และความเห็นอกเห็นใจ5.Rise Of Gray-Collar ผู้สูงอายุยังสานต่องานไหวแม้อายุจะเลยจุดสูงสุดในสายอาชีพหรือถึงวัยต้องวางมือตามที่บริษัทกำหนดไว้ แต่ตลาดแรงงานยังคงต้องการแรงงานที่มีทักษะเทคนิคเฉพาะทางอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่มีทักษะหลายด้านในตัวเอง ทั้งฝั่งพนักงานออฟฟิศ (White collar) และ ฝั่งใช้แรงงาน (Blue collar) บวกกับความเชี่ยวชาญที่เพิ่มพูนตามอายุงานแล้ว ทำให้เหล่าGray-Collar ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างพนักงานออฟฟิศและผู้ใช้แรงงาน อย่าง สถาปนิก วิศวกร แม้จะสูงวัย แต่ยังคงสามารถทำงานต่อในหน้าที่เดิมของตัวเองได้และยังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอีกด้วยที่มา : https://thematter.co/lifestyle/working-trend-2025/236669
อ่านเพิ่มเติมJobsdb by SEEK แพลตฟอร์มหางานของไทย ได้เปิดเผยรายงาน ‘Hiring, Compensation & Benefits (HCB) Report’ ประจำปี2568 ซึ่งชี้ให้เห็น3 สัญญาณการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของตลาดแรงงานไทยที่ทุกองค์กรไม่อาจมองข้าม รายงานฉบับนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากการสำรวจผู้ประกอบการ702 รายทั่วประเทศในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม2567 เพื่อถอดรหัสความเปลี่ยนแปลงและนำเสนอข้อมูลเชิงกลยุทธ์ให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างมั่นใจหลังจากปี2567 ซึ่งเป็นช่วงที่หลายองค์กรต้องปรับโครงสร้างเพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจ รายงานHCB ปี2568 ชี้ว่าตลาดแรงงานได้เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยกว่า53% ขององค์กรที่สำรวจมีแผนจะจ้างพนักงานประจำเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ตำแหน่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี2568อย่างไรก็ตาม รูปแบบการจ้างงานกำลังเปลี่ยนไปสู่โมเดลที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นอย่างชัดเจน องค์กรจำนวนมากหันมาใช้กลยุทธ์การจ้างงานแบบPart-time และสัญญาจ้างเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ พบว่าการจ้างงานแบบ ‘Part-time Permanent’ เพิ่มขึ้นจาก20% เป็น42% ขณะที่ ‘Contract Part-time’ เพิ่มจาก19% เป็น28% แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง แต่ภาพรวมตลาดแรงงานไทยยังคงแข็งแกร่งด้วยอัตราการว่างงานที่ต่ำเพียง1%ในมิติของสวัสดิการและผลตอบแทน องค์กรยุคใหม่กำลังให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของพนักงานในทุกมิติมากขึ้น รายงานชี้ว่าในปี2568 องค์กรมีแนวโน้มจะเพิ่มสวัสดิการประเภทวันลาพิเศษมากขึ้น เช่น ลาวันเกิด, ลาสำหรับบิดาเพื่อดูแลบุตร และลาดูแลครอบครัว ซึ่งมีทิศทางการปรับเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่เท่ากันคือ15% นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ที่สนับสนุนครอบครัว เช่น การจัดห้องให้นมบุตรและเบี้ยเลี้ยงด้านการศึกษาด้านค่าตอบแทน พบว่า85% ขององค์กรมีการปรับขึ้นเงินเดือนเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อ ขณะที่84% มีการจ่ายโบนัสโดยเฉลี่ยอยู่ที่2 เดือน เพื่อรักษาขวัญและกำลังใจของบุคลากร การกระทำเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความผูกพันระหว่างพนักงานกับองค์กรในระยะยาวสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอาจเป็นเรื่องของทักษะด้าน AI ซึ่งกำลังเปลี่ยนสถานะจาก ‘ทักษะทางเลือก’ ไปสู่ ‘ทักษะบังคับ’ สำหรับแรงงานยุคใหม่ องค์กรกว่า65% ระบุว่ามีการพิจารณาทักษะAI ของผู้สมัครในขั้นตอนการสัมภาษณ์งานแล้ว และ26% มองว่าทักษะนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงาน โดยวิธีการประเมินทักษะมีทั้งการสัมภาษณ์โดยตรง (51%), การพิจารณาจากแฟ้มผลงาน (42%) และการใช้แบบทดสอบเฉพาะทาง (33%)ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการJobsdb by SEEKกล่าวสรุปว่า “ปี2568ถือเป็นปีแห่งการปรับกลยุทธ์และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน องค์กรในประเทศไทยต่างเริ่มปรับตัวเพื่อให้ทันกับความคาดหวังของแรงงานยุคใหม่ ทั้งในด้านรูปแบบการจ้างงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น สวัสดิการที่ครอบคลุมคุณภาพชีวิตในทุกมิติ ไปจนถึงทักษะใหม่อย่างAI ที่เริ่มกลายเป็นมาตรฐานสำคัญในการจ้างงาน”ที่น่าสนใจคือ องค์กรเองก็เริ่มนำAI มาใช้ในกระบวนการสรรหาบุคลากรมากขึ้นเช่นกัน โดย34% ขององค์กรที่สำรวจเริ่มนำAI มาช่วยในการเขียนประกาศงานและคัดกรองใบสมัครแล้ว สิ่งนี้สะท้อนว่าAI ได้กลายเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุกคนในตลาดแรงงาน ไม่ใช่แค่เพียงสายงานเทคโนโลยีอีกต่อไปที่มา : https://thestandard.co/thailand-job-market-2025-flexible-hiring-ai-skills/
อ่านเพิ่มเติม